เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราไปวัด เห็นไหม เราไปวัดเวลาเราไปทำบุญ พอเราทำบุญเราก็เอาความเห็นของเราว่าเวลาทำบุญ บุญต้องเป็นอย่างที่เราเข้าใจ มันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นความเข้าใจไง แต่มันคิด เห็นไหม เวลาทำมานี่ ทุกคนนะเวลาพระบวชใหม่ๆ ก็พระนี้มาจากโลก ทุกคนเวลาไปอ่านประวัติครูบาอาจารย์ สมัยสงครามโลกนะผ้านี่ไม่มีใช้ สมัยสงครามโลก อย่าว่าแต่พระเลย โยมก็ทุกข์ยาก แล้วพระจะเอาที่ไหนมา? โยมทำบุญโยมต้องมีก่อนถึงจะมาถวายพระใช่ไหม? แล้วโยมก็ไม่มี แล้วพระจะเอามาจากไหน?

นี่เวลาเราคิดอย่างนั้นปั๊บเราก็เป็นห่วง ทุกคนก็ต้องเป็นห่วงชีวิต ว่าชีวิตนี้จะอยู่อย่างไร? ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ทุกข์ร้อนนะ เพราะกิเลสมันครอบงำ ตัณหาความทะยานอยากครอบงำ พวกเราถึงต้องสะสมไว้เพื่อความมั่นคงของชีวิต แต่ความมั่นคงของชีวิต อาหารนี่ การถนอมอาหาร รักษาอาหารไว้ยากไหม?

นี่ทางวิทยาศาสตร์พยายามถนอมอาหาร รักษาอาหารไว้ให้อายุมันยืนยาวเพื่อประโยชน์กับโลก แต่มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น อาหารที่อายุสั้น กินแล้วอายุยืน อาหารที่อายุสั้นนะ อย่างพวกผักปลอดสารพิษกินแล้วอายุยืน อาหารที่อายุยืนกินแล้วอายุสั้น เพราะอะไร? เพราะมันต้องบำรุงรักษา เห็นไหม นี่ผ่านรังสี ผ่านต่างๆ เพื่อเก็บถนอมรักษาไว้ให้มันอายุยืน แล้วเราไปกินมันสารก็ไปสะสมในตัวเรา

นี่เราไปเข้าใจกันว่าโลกมันมองกลับกับธรรมะ ธรรมะเป็นปัจจุบันธรรมนะ อย่างที่ว่าทำไมพระต้องฉันอย่างนั้น? ก็พระเห็นภัยในวัฏสงสาร แต่เวลาพระบวชใหม่ยังไม่เห็นภัย พอไม่เห็นภัยมันก็อึดอัดขัดข้องนะ พอมันอึดอัดขัดข้องก็ขอนิสัยครูบาอาจารย์ พอครูบาอาจารย์ท่านพาทำไง พอทำเข้าไป เราทำอย่างครูบาอาจารย์ไป เหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กเลย ผู้ใหญ่จะสอนเด็ก เพราะเด็กต่อไปอนาคตโตขึ้นมาจะประสบปัญหาอย่างไรบ้าง จะให้มีการศึกษา ให้มีไหวพริบ ให้มีปัญญา ให้เอาชีวิตรอดให้ได้

พระก็เหมือนกัน เวลาขอนิสัยขึ้นมานี่ครูบาอาจารย์ท่านพาทำเพื่ออะไร? นี่เวลาเราโตขึ้นมาเราจะเห็นประโยชน์ของมัน เวลาเรามานั่งสมาธิภาวนาทำไมมันนั่งหลับ ทำไมมันนั่งแล้วมันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเพราะอะไร? ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เพราะเริ่มต้นนี่ต้นทาง ต้นทางเราไม่บำรุงรักษา ต้นทางนะ การดำรงชีวิตของเรา เราดำรงชีวิตแบบตามกิเลส ตามความพอใจของตัว มันจะสะสมโรคภัยไข้เจ็บนะ

ถ้าเราดำรงชีวิตของเรา เห็นไหม เราเริ่มต้นตั้งแต่ต้นทาง อาหารที่เป็นสารพิษเราจะไม่กินมัน เราจะกินอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย ร่างกายนี่ให้สารที่เป็นประโยชน์กับมัน แล้วดูแลรักษาร่างกาย เราโตขึ้นไปเราจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ชีวิตเราจะยืนยาว

นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นตั้งแต่การดำรงชีวิตปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม เราไปตื่นเต้นกับมัน เราไปสะสมมันขึ้นมา แล้วเราจะได้อะไรขึ้นมา เราได้อะไร? เราก็ได้ความสุขของโลกๆ ไง ความเห็นของโลกไม่เหมือนธรรม ธรรมะเป็นความรู้สึก หัวใจเป็นความสัมผัสธรรม เราอ่านหนังสือมา อ่านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ธรรมะเป็นสาธารณะ ที่ว่าธรรมๆๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมสาธารณะ แต่ธรรมของเรา ความรู้สึกสุขทุกข์ของเราไง ความเห็นของเราไง ความสะเทือนใจของเราไง

ความสะเทือนใจมาจากภายนอก เวลาพ่อแม่สอนนะลูกมันก็ขัดแย้ง แต่เวลาลูกไปเห็นโทษ ไปเห็นความผิดมันก็ซึ้งนะ อืม.. พ่อบอกแล้ว แม่บอกแล้วเราทำไม่ได้ แต่ถ้าเราไปประสบของเราเองล่ะ? เราประสบของเราเอง เราเห็นโทษเห็นภัยของมันเอง แล้วเราหลบหลีกเอง เราเอาตัวเรารอดได้เอง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสมาธิขึ้นมาได้เอง เราเกิดปัญญาขึ้นมาได้เอง นี้กว่าจะเกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมาได้ เห็นไหม เริ่มปูพื้นฐาน พื้นฐานมันปิดกั้น พื้นฐานเป็นโลก ทีนี้เราเข้าใจว่าศาสนา ใครมองมามุมมองของโลก โลกไม่ใช่ธรรม ธรรมไม่ใช่โลกนะ เวลาปฏิบัติเขาบอกเลยว่าเขาไปปฏิบัติกันนี่ นามรูปมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์

เราบอกที่สังเวชเราสังเวชตรงนี้ วิทยาศาสตร์มันเป็นโลก ธรรมะมันเหนือโลกไง ธรรมะมันเหนือวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์มันเห็นตั้งแต่เด็กเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ใช่ไหม? แต่ธรรมะเห็นกรรมพาเกิด นี่ปฏิสนธิจิต จิตที่บาลานซ์เข้ามาในท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน เวลาเกิดขึ้นมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันนะ ทำไมลูกออกมา ๔-๕ คนไม่เหมือนกัน ลูกออกมาไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันต้องเหมือนกันสิ มันก็ปั๊มออกมาจากพ่อแม่เดียวกัน ทำไมลูกไม่เหมือนกัน

นี่ไงวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แต่ดีเอ็นเอ พิสูจน์ได้แต่กรรมพันธุ์ แต่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจิตนี้มาจากไหน? จิตนี้มีบุญกุศลมาจากไหน? เห็นไหม อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดขึ้นมาแล้วดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่เกิดมาเสมอพ่อเสมอแม่ บุตรที่เกิดมาต่ำต้อยกว่าพ่อแม่ การเกิดมาของลูกมันอยู่ที่บุญกรรมของเขา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ธรรมะพิสูจน์ได้

ถ้าธรรมะพิสูจน์ได้เพราะอะไร? ธรรมะพิสูจน์ได้เพราะมันเป็นข้อมูลของใจ พอใจนี่มันมีสมาธิเข้าไปมันเข้าไปถึงใจของมัน เห็นไหม อย่างนี้มันเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติได้ จุตูปปาตญาณระลึกอนาคตได้ สิ่งที่เห็นอดีตอนาคตนี่มันยังไม่ได้ธรรมะเลย ยังไม่ใช่อริยสัจเลย

สิ่งที่เป็นอริยสัจ เห็นไหม แล้วพอเราไปเจอเท่านั้นแหละ นี่สิ่งนี้เราว่ามันจะหลงมันจะไหล.. ใช่ มันส่งออก มันเป็นโลก มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องโลก แม้แต่จิตสงบเข้าไปมันยังเป็นโลกเลย แล้วมันเป็นธรรม ธรรมมันเป็นอย่างไร? ธรรมะที่ว่าธรรมเหนือโลกๆ มันเหนือวิทยาศาสตร์อย่างไร? เหนือวิทยาศาสตร์ที่ว่ามันเป็นข้อมูล มันเป็นพื้นเพ มันเป็นกรรมพันธุ์ มันเป็นสิ่งที่จิตมันสะสมมา

พระอรหันต์แต่ละพระองค์ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม เอตทัคคะ ๘๐ องค์ไม่เหมือนกันสักองค์หนึ่ง ไม่เหมือนกันนะ แต่ความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน เช่นเราเป็นคนเหมือนกัน ผู้หญิง ผู้ชายต่างกัน เราเป็นผู้ใหญ่เหมือนกันเราโตขึ้นมา แต่นิสัยเหมือนกันไหม? ความนึกคิดเหมือนกันไหม? ความปรารถนาของใจที่แสวงหาเหมือนกันไหม? นี่แล้วเป้าหมายนะ เป้าหมายอันเดียวกัน เป้าหมายคือต้องการอยากพ้นทุกข์เหมือนกัน

ทุกข์ทุกคนปฏิเสธนะ มนุษย์เกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข แต่เพราะมันโง่ อ้าว.. จริงๆ นะ มันโง่ มันแสวงหาแต่สิ่งที่ผิดไง มันไปแสวงหาในสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากใช่ไหม? อย่างนี้เป็นเครื่องอาศัย นี่เพชร นิล จินดา มันกินได้ไหม? ผักหญ้าต่างหากมันกินได้นะ แต่เพชร นิล จินดา มีค่ามาก มีค่าเพราะโลกเขาสมมุติขึ้นมา แต่เพชร นิล จินดา กินไม่ได้หรอก มันกินได้แต่อาหาร อาหารนี่กินได้ อาหารก็เข้าไป อาหารมันเป็นเรื่องที่หล่อเลี้ยงชีวิตไง

นี่โลก เห็นไหม เราไปแสวงหากันอย่างนั้น นี่มันโง่ โง่อย่างนี้ไง โง่ไปหาสิ่งที่ตัณหาความทะยานอยากมันต้องการ มันแสวงหา เพราะโลกเขาให้ค่ากัน แต่ให้ค่าในสิ่งที่เป็นสมมุติ แต่ความจริงล่ะ? ความจริง เห็นไหม ดูสิเรามองตากันสิ นี่ความสัมพันธ์นะ เรามีความเมตตากัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน อันนี้เป็นธรรม นี่สิ่งนี้ไปตีเป็นเงินได้ไหม? แต่มันมีคุณค่าไหม? มันมีคุณค่ามากเลย

เรื่องของหัวใจ เรื่องความรู้สึกที่มันมีเมตตากรุณาต่อกันมีคุณค่ามาก แล้วคุณค่าอย่างนี้ เมตตาตน เมตตาผู้อื่นนะ.. เมตตาตน นี่ไงที่พระฉันนี่ไง พระฉันนี่ใครบ้างไม่อยากกิน ไม่อยากเอร็ดอร่อย ใครบ้างไม่อยาก แต่ความอยากนะ พระในสมัยพุทธกาล เช้าขึ้นมาจะออกบิณฑบาต พอห่มผ้าออกบิณฑบาตมันคิดขึ้นมาเลยนะ วันนี้เขาจะใส่บาตรอะไรเรา มันอยากได้อาหารที่มันพอใจ ท่านเปลื้องผ้าไม่ไปเลย ไม่กินเลย เพราะอะไรรู้ไหม? นี่อาหารทุกคนก็อยากกินเอร็ดอร่อยทั้งนั้นแหละ แต่เอร็ดอร่อยมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นเรื่องของกิเลสไง

แต่ความจริงโดยธรรมชาติ เห็นไหม ธรรมชาติ อาหารนี่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย การดำรงชีวิตคนเกิดมาต้องมีอาหารนะ อาหารในวัฏฏะ กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว อาหารของมนุษย์ วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา นี่ผัสสาหาร อาหารของพรหม มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือการแสดงออกว่าชีวิตมันอยู่ได้อย่างไร? ชีวิตอยู่ได้เพราะต้องมีอาหาร ต้องมีการสืบต่อ ชีวิตอยู่ได้เพราะอาหารนะ แล้วอาหารนี่มันมีชีวิตเพื่อสืบต่อ แต่นี้อาหารมันสืบต่อแล้ว กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันต้องการแสวงหา นี่ต้องการตามกิเลส แต่ความจริงตามข้อเท็จจริงมันต้องการแค่ไหน? มันต้องการแค่ดำรงชีวิตเท่านั้นเอง เห็นไหม แค่ดำรงชีวิต

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมนะ พระเราฉันอาหารเหมือนเขาหยอดล้อเกวียน เอาน้ำมันขี้โล้หยอดล้อเกวียนเพื่อให้ล้อเกวียนมันหมุนได้ไป ให้ไม่มีเสียงดัง ให้มันคล่องตัวเท่านั้นเอง ชีวิตเรานี่ถ้าเอาประโยชน์ของมัน อาหารแค่ดำรงชีวิตนี้เอง แต่เราไปให้คุณค่ากันเอง ให้คุณค่ามันมากเกินไป แล้วพอมันสะสมมาเราก็ไปออกกำลังกายกันเพื่อจะขับไขมัน นี่ทางโลกนะ

แต่ถ้าทางธรรมล่ะ? ทางธรรมมันสะสมๆ ขึ้นมา ธาตุขันธ์ ธาตุมันทับจิต เวลาธาตุทับจิต ดูสิเรากินอิ่มนอนอุ่นมันขี้เกียจ มันยืดยาด แต่ถ้าคนมันกินพอประมาณมันจะลุกไว ไปไว ลุกไว ไปไวเพื่อไม่ให้กิเลสมันเกาะ คือไม่ให้ตัณหาความทะยานอยากมันเบื่อหน่าย มันเศร้าสร้อย มันหงอยเหงา แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลา ฝึกสติ เห็นไหม นี่การฝึกสติเราบอกเป็นวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหวเป็นวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหวเราสร้างภาพ

แต่หลวงปู่มั่นพูดไว้ในมุตโตทัยนะ “การดื่ม การกิน การเหยียด การคู้ ให้มีสติ” คือให้มีสติกับชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปสร้างภาพอีกภาพหนึ่ง ชีวิตประจำวันเราต้องเหยียด ต้องคู้ ต้องมีความรู้สึก เราก้าวเดินมีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะ นี่อย่างนี้เป็นการฝึกสติ

แต่เป็นการหนอ เหยียด มันหลอกกันน่ะ เราเองยังหลอกตัวเอง ไปสร้างอีกอารมณ์หนึ่งมาหลอกตัวเอง แล้วบอกนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ก็วิทยาศาสตร์มึงสร้าง วิทยาศาสตร์เราสร้างขึ้นมา แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะใช่ไหม? ชีวิตประจำวันให้มีเป็นธรรมชาติไง ให้เป็นสัจธรรมไง ไม่ใช่เราไปสร้างภาพอีกภาพหนึ่ง ถ้าสร้างภาพอีกภาพหนึ่ง เราก็สร้างความหลอกขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง สมมุติอีกชั้นหนึ่ง

ชีวิตนี้ก็เป็นสมมุตินะ แล้วเราสมมุติอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม แบงก์ก็สมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติ ชีวิตนี้สมมุติ มันจริงตามสมมุตินะ ชีวิตนี้มีจริงๆ แบงก์นี่มันเป็นของปลอม ชีวิตนี้เป็นความจริงนะ แต่มันจริงด้วยชั่วคราวใช่ไหม? เราเกิดมาก็อายุขัยหนึ่ง ถ้าเป็นความจริงมันอยู่กับเราตลอดไป อายุมันชั่วคราว มันจริงตามสมมุติ

จริง! จริงตามสมมุติ แต่สมมุตินี่ ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบัญญัติ สมมุติบัญญัติ ถ้าเรารู้จริงไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่บัญญัติ สมมุติว่ากิน สมมุติว่ารับประทาน สมมุติว่าเสวย นั่นคือกิริยา คือคำพูด แต่ถ้าเราเอาอาหารใส่ปาก นั่นล่ะกินจริงๆ กินจริงๆ

นี่สมมุติ เห็นไหม เขาสมมุติกันขึ้นมาว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงใจไปสัมผัส ใจมันไปรับรู้ขึ้นมาแล้วมันซึ้งมาก ซึ้งมาก ถ้ามันซึ้งใจนี่ซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

แล้วเรามีโอกาส ทุกคนมีหัวใจนะ นี่ไปวัด.. เราสังเกตเวลาไปบ้านตาดหลวงตาจะบอกว่า

“อ้าว.. ไปดูวัดๆ ทุกคนกลับมาเห็นวัดหรือยัง? เห็นวัด เห็นอะไร?”

“เห็นต้นมะพร้าว เห็นต้นมะม่วง”

ท่านหัวเราะ ต้นมะพร้าวที่ไหนก็มีทั่วโลก ต้นไม้มันก็มีอยู่ทั่วโลก ไปวัดไปดูพระไง ไปดูข้อวัตรปฏิบัติ ไปดูข้อวัตร ไปดูการกระทำของพระ พระที่ดี เห็นไหม อยู่ในหลักในเกณฑ์ ในธรรมวินัย วัดมันอยู่ที่กติกา ธุดงควัตร ๑๓ พระธุดงค์หมายถึงว่าบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร พระธุดงค์ไม่ใช่ห่มผ้าดำๆ หรอก ถ้าห่มผ้าดำๆ นะ ย้อมผ้าดำใครก็ห่มได้

ธุดงควัตร พระธุดงค์มันอยู่ที่วัตร ๑๓ ข้อ ธุดงควัตร ๑๓ ถือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร นั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร ฉันภาชนะเดียวเป็นวัตร เห็นไหม เป็นวัตรคือทำเป็นตลอดชีวิตเถิด ทำอย่างนี้ตลอดชีวิต ถ้าทำวัน ๒ วันมันก็ทำได้ อ้าว.. วันนี้เราอยู่ในศีลในธรรม พรุ่งนี้เรากินตามสบายของเรา เห็นไหม มันก็จะมีข้ออ้าง

แต่ตลอดชีวิตเถิด ทำอย่างนี้ตลอดไปกิเลสมันอ้างไม่ได้ กิเลสมันออกนอกไม่ได้ กิเลสมันโดนบีบบังคับ โดนบีบบังคับจนมันเห็นคุณเห็นโทษ เห็นคุณเห็นโทษตรงไหน? เห็นคุณเห็นโทษเวลามันไม่ได้ดั่งใจมันใช่ไหม? แล้วเราชนะมันขึ้นมาได้ โอ้โฮ.. กินธรรมะคือกินสัจธรรม นี่กิเลสมันต้องการ มันแสวงหา มันดิ้นรนในหัวใจ แล้วเราใช้ปัญญา ใช้สติยับยั้งมันได้ เราเห็นความสงบของมัน..

เห็นความสงบของมันนะ นี่ไง “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” มโนปุพพังคมา ธัมมา นี่สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดมาจากใจ ความคิดมาจากใจ ความคิดดีก็มาจากใจ ทำดีก็มาจากใจ ทำชั่วก็มาจากใจ ใจคิดก่อน ใจปรารถนาก่อนแล้วมันทำ แล้วมันจะต้องการของมัน เห็นไหม แล้วเราไปบังคับที่นั่น ฐีติจิตไปบังคับที่ใจ เรารู้ทันที่ใจ

นี่สิ่งที่เกิดขึ้นมา ไอ้ลิ้นที่มันต้องการกระทบ ที่อายตนะมันต้องการเสพ มันเป็นเรื่องของใจที่มันปรารถนา มันต้องการ ในเมื่อใจมันควบคุมใจได้ มันเห็นคุณเห็นโทษด้วยปัญญาของมัน อาหารมันเก็บไว้มันก็เน่าบูด มันเป็นเรื่องของโลก แต่! แต่คุณธรรม สิ่งที่เราชนะขึ้นมา เป็นสมาธิขึ้นมา มันฝังใจไป สิ่งที่ไปกับใจมันมีค่าเหนือเท่าไหร่

อาหารนี่ บุญกุศล เห็นไหม เวลาเราใส่บาตร สิ่งที่เป็นวัตถุเราใส่ไปเป็นไทยทาน ที่โยมต้องแสวงหามาด้วยกำลังของโยม แล้วโยมมาเสียสละให้พระ พระรับไปแล้วนี่สิ่งนี้มันเป็นอามิส แต่สิ่งที่โยมได้ไป อาหารที่คิดไว้สิ ที่เคยสละมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ชาติที่แล้วมันยังสดๆ ร้อนๆ มันยังไฟกรุ่นๆ อยู่เลย เขาเรียกเป็นทิพย์ไง

สิ่งที่เป็นทิพย์ นามธรรมสิ่งที่รับรู้ นี่บุญกุศลมันสะสมลงที่นี่ สิ่งที่เราสละไปแล้วเป็นวัตถุ มันสละไปเป็นสาธารณะสมบัติ แต่คุณธรรม สิ่งที่เราสละออกไป สิ่งที่เราได้รับรู้ออกไป สิ่งที่สะสมไป นี่บารมีมันเกิดที่นี่ เราไปเสียสละขึ้นมา ให้คนอื่นได้รับความสุขสบายจากสิ่งที่เราแสวงหามา สิ่งที่เขาได้ความสุข เขายิ้มแย้มแจ่มใสเกิดจากใคร? เกิดจากน้ำใจของเรา จากการกระทำของเรา เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันสะสมไปที่ใจ มันพัฒนาอย่างนี้

นี่ทานบารมี ศีลบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาวัดเราก็มาทำทาน เรามาทำทาน เรามาทำบุญกุศลของเรา แล้ววัตรปฏิบัติของเรา เราก็ดูแล เพราะมันต้องเจริญพัฒนาขึ้นไป คุณงามความดีที่ยังดีกว่านี้ยังมีอยู่ คุณงามความดีที่มีอยู่ ขนาดเราพัฒนา เราอดอาหาร ผ่อนอาหารขนาดไหน คุณงามความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ ยังมีความดีกว่านี้อีก ยังมีความดีสูงกว่านี้อีก ยังต้องทำได้อีก เราถึงต้องพัฒนาของเรา เราทำของเรา

นี่ไงไปวัด! ไปวัดไปดูข้อวัตร ไปดูการกระทำ ไปดูความเป็นอยู่ของพระ แล้วย้อนกลับมาทำไมพระอยู่ได้ พระฉันมื้อเดียว ท่านอดอาหารท่านอยู่ได้ เรากิน ๕ มื้อ ๑๐ มื้อทำไมเราทุกข์เรายาก ถ้าเราผ่อนของเรา เห็นไหม นี่ดูแล้วเปรียบเทียบ.. นี่ไปวัด เห็นวัดข้างนอกแล้ววัดเข้ามาข้างใน แล้วมันเป็นคุณสมบัติของเราขึ้นมา

แล้วเรานี่สีเลนะสุคะติง ยันติ ผู้มีศีลจะมีความสุขคติ สีเลนะโภคะสัมปะทา เรารักษาศีล เรามีศีลของเรา มันจะมีโภคสมบัติ เราไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เรารู้จักถนอมรักษา นี่สิ่งที่แสวงหามา ตระกูลของเราจะมั่นคงขึ้นมา จะมั่งคั่งขึ้นมาเพราะเรามีศีลมีธรรม.. แต่ถ้าไม่มีศีลมีธรรม กิเลสมันใช้สอย มันฟุ่มเฟือยไปมันจะอยู่ได้อย่างไร?

นี่เห็นไหม เขาเห็น นี่มองแบบโลกไง มองแล้วสงสารพระ ทำไมพระต้องฉันเร็ว ทำไมพระได้ฉันนิดเดียว ทำไมพระไม่ฉันเต็มกระเพาะ แต่พระเขาภูมิใจ เพราะว่าไม่ให้วัตถุมันกดทับหัวใจ ให้หัวใจมันปลอดโปร่ง ให้หัวใจมันควรแก่การงาน ให้หัวใจมันได้มีการกระทำของมัน นี่คุณธรรมอันนี้มันเหนือไง ธรรมเหนือโลก ถ้าคนเข้าใจมันจะเห็นคุณประโยชน์ ถ้าคนไม่เข้าใจก็ยังสงสารพระไปเรื่อยๆ

นี่ไงพระผู้ประเสริฐ ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างให้เราดู เป็นคติ เป็นวัตรปฏิบัติให้เราเห็นวัดข้างนอก วัดข้างใน เห็นไหม สำคัญจากข้างนอกคือวัตรปฏิบัติ แล้วสำคัญจากข้างใน ข้างในคือหัวใจมันชนะใจ ถ้าข้างในไม่ชนะใจ ข้างนอกมันก็เป็นกิริยาเฉยๆ ถ้าข้างในมันชนะใจนะ ข้างนอกก็ดี ข้างในก็ดี ถ้าดีอย่างนี้เราจะมีความสุขนะ

นี่สุขเกิดจากใจของเรา ในศาสนานี้สอนได้ แล้วเราพิสูจน์ได้ ถ้าพระโกหก ครูบาอาจารย์โกหกเราพิสูจน์ได้ แล้วทำให้ถึงที่สุดเลย แล้วไปยันว่าครูบาอาจารย์โกหก ถ้าเป็นโกหกนะมันจะสืบทอดมาไม่ได้เป็นพันๆ ปีมันจะสืบทอดไม่ได้ เป็นสัจจะความจริง มันจะมาโกหกกันไม่ได้หรอก ชีวิตทั้งชีวิตนะ อยู่ในศีลในธรรมทั้งชีวิต ถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นเครื่องดึงดูด ไม่มีสิ่งที่เป็นคุณงามความจริง ชีวิตจะมาทนทุกข์ทรมานทำไม? ทนทุกข์ทรมานเพื่อพ้นจากทุกข์

แต่พวกเรานี่ทุกข์ ทุกข์เพื่อจะเผชิญกับทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพให้เราต้องเผชิญหน้ากับมันตลอดไป แต่ถ้าเราทุกข์กับมัน สู้กับมันจนถึงที่สุดมันเป็นอกุปปธรรม มันจะไม่แปรสภาพ มันจะคงที่ของมัน สิ่งนี้จะเป็นคุณสมบัติของเรา อยู่ในหัวใจของเรา ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกคนมีสิทธิ์ด้วยกันหมด เพียงแต่ทุกคนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เอวัง